บทที่ 4 ตอนที่ 4

ห้าโมงเย็นกับอีกสิบแปดนาที ร้อยแก้วรีบมุ่งหน้ากลับเข้าห้องพักเพราะเป็นเวลาเลิกงานของตนเองแล้ว มือเล็กกำลังไขกุญแจห้อง แต่จู่ๆ ก็ถูกมือกระด้างของใครบางคนมาคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน

“อุ๊ยยย”

หล่อนรีบสะบัดมือจนหลุด และก็หันไปมองเจ้าของมือหยาบกร้าน ซึ่งก็พบว่าเป็นกฤษดา

“น้ากฤษ... มาทำอะไรแถวนี้เหรอจ๊ะ”

สายตาที่กฤษดาใช้มองหล่อนในครั้งนี้มันต่างไปจากเดิมมาก ราวกับว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังสำรวจอะไรบางอย่าง หล่อนรู้สึกร้อนใจจนต้องรีบก้มหน้าหนี

“ฉัน... ขอตัวเข้าห้องก่อนนะน้ากฤษ”

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“เอ่อ... น้ามีอะไรกับฉันเหรอจ๊ะ” หล่อนถามทั้งๆ ที่ก้มหน้า จึงไม่เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

“เจ้สั่งให้ไปหาน่ะ”

“เอ่อ... เจ้มีธุระอะไรกับฉันเหรอจ๊ะน้ากฤษ” หล่อนจำต้องช้อนตาขึ้นมองกฤษดา

“ไม่รู้สิ ไปถามเจ้เอาเองเถอะ”

“เอ่อ... งั้นฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะไปหาเจ้นะจ๊ะ”

“ไม่ได้ เจ้เรียกเอ็งด่วน”

ร้อยแก้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจแปลกๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือก

“ก็ได้จ้ะ งั้นฉันไปหาเจ้ก่อนนะ”

“อืม”

หล่อนรีบก้าวเท้าเดินจากกฤษดามาด้วยความรีบร้อน เพราะไม่ชอบสายตาที่กฤษดามองมานัก

“ทำไมน้ากฤษมองเราแปลกๆ”

ขณะที่ร้อยแก้วกำลังสับสนกับสายตาที่เปลี่ยนไปของกฤษดานั้น แมงดาตัวพ่อก็พึมพำออกมาในลำคอ

“แม่งนังแก้ว มึงตบตากูซะหลายปีเลยนะมึง แต่ยังไงซะคืนนี้มึงก็ไม่มีทางรอด”

กฤษดาหัวเราะหึหึอย่างสะใจ ยกมือขึ้นลูบปากตนเองเมื่อนึกถึงทิปจำนวนมากที่จะได้รับจากเจ้นุช

ร้อยแก้วเดินมาหยุดที่หน้าห้องทำงานของเจ้นุช สีหน้าของหล่อนไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ก็พยายามซ่อนเอาไว้ ขณะยกมือขึ้นเคาะประตูไม้ตรงหน้า

“แก้วมาแล้วค่ะเจ้”

“เข้ามาเลยลูกแก้ว”

เสียงตอบรับที่ฟังดูกระตือรือร้นต่างไปจากทุกครั้งของเจ้นุชทำให้ร้อยแก้วยิ่งแปลกใจ หล่อนดันบานประตูให้เปิดกว้างออก ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน

เจ้นุชนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน พอเห็นหล่อนเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้น เดินออกมาหาทันที ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม

“เอ่อ.. เจ้มีอะไรจะให้แก้วรับใช้เหรอคะ”

“โถๆๆ อย่าพูดแบบนี้สิลูกแก้ว...”

สรรพนามที่เจ้นุชใช้เรียกหล่อนต่างไปจากทุกครั้ง

“อั๊วก็แค่อยากจะถามสารทุกข์สุกดิบของลูกแก้วเท่านั้นแหละ”

“เอ่อ...”

ร้อยแก้วมึนงงกับท่าทางของคู่สนทนา เพราะร้อยวันพันปีเจ้นุชไม่เคยสนใจหล่อน แค่อุปการะให้ข้าวให้น้ำ และจิกหัวใช้หล่อนราวกับทาสในเรือนเบี้ย

“แล้วเรื่องเรียนล่ะ จบแล้วใช่ไหม เห็นนังหล้ามันบอกอั๊ว”

“เอ่อ... ใช่ค่ะเจ้”

เจ้นุชยกมือขึ้นลูบต้นแขนของหล่อนเบาๆ

“ไม่น่าเชื่อนะว่าลูกแก้วของอั๊วจะขยันจนเรียนจบได้อย่างนี้ อั๊วยินดีด้วยนะลูกแก้ว”

“เอ่อ ขอบคุณค่ะเจ้”

หล่อนยืนอึดอัดอยู่ท่ามกลางสายตาของเจ้นุช อยากจะหนีออกไปจากห้องนี้นัก แต่ก็ทำได้แค่คิด

“ถ้าหน้าของลูกแก้วไม่ดำ ก็คงจะสวยไม่แพ้แม่ดวงดาวเลยล่ะ”

เมื่อคู่สนทนาพูดถึงมารดาที่ล่วงลับไปแล้วของตนเอง ร้อยแก้วก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะจากคำบอกเล่าของคนที่นี่ แม่ของหล่อนถูกบังคับให้ขายตัวอย่างไม่เต็มใจ หล่อนจะไม่มีวันยอมรับชะตากรรมแบบแม่เด็ดขาด หล่อนจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้สักวัน

“แก้วไม่มีทางสวยเหมือนแม่หรอกจ้ะเจ้ เพราะแก้วอัปลักษณ์”

“ตอนเด็กๆ ลูกแก้วก็หน้าตาน่ารักน่าชังเหมือนกับร้อยฝันพี่สาวของหนูที่มีเศรษฐีมาขอไปเลี้ยงนะ แต่ไม่รู้ทำไมพอแตกเนื้อสาว หน้าถึงได้ทั้งเขรอะทั้งดำแบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ”

รอยยิ้มของเจ้นุชทำให้หล่อนรู้สึกหวั่นใจแปลกประหลาด แต่ไม่นานรอยยิ้มน่าขนลุกนั้นก็จางหายไป เหลือไว้แต่รอยยิ้มจอมปลอมเกลื่อนใบหน้า

“มันคงเป็นกรรมของแก้วน่ะค่ะเจ้”

“เอาเถอะๆ อย่าคิดมากเลย” เจ้นุชตบบ่าหล่อนเบาๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่ต้องการขึ้น

“คืนนี้จะมีแขกกระเป๋าหนักมาใช้บริการที่ภัตตาคารของเรา ไม่รู้ว่าลูกแก้วได้ข่าวมาบ้างหรือยัง”

“เอ่อ พี่หล้าบอกแล้วจ้ะเจ้”

เจ้นุชยิ้มกว้าง “นังฝนมันปวดท้อง เพิ่งมาขอลางานไปตอนบ่าย อั๊วก็เลยอยากจะขอแรงให้ลูกแก้วมาช่วยเสิร์ฟอาหารให้กับแขกที จะได้ไหม”

“เอ่อ... แต่แก้วเลิกงานแล้วนะคะเจ้”

ร้อยแก้วเบิกตากว้างอย่างตกใจ จนแว่นตาที่สวมอยู่แทบกระเด็นออกไปจากใบหน้า

“อั๊วรู้ แต่อั๊วไม่มีคนแล้วจริงๆ ลูกแก้วก็ช่วยอั๊วหน่อยนะ แค่มาเสิร์ฟอาหารเอง ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรอก”

“แต่แก้ว... แก้วหน้าดำแบบนี้ ลูกค้าอาจจะรังเกียจ...”

“ไม่หรอก แค่เสิร์ฟอาหาร ลูกค้าใจกว้างอยู่แล้ว”

เจ้นุชยังยืนกรานความต้องการเหมือนเดิม ในขณะที่ร้อยแก้วเต็มไปด้วยความหวาดวิตก ปกติช่วงหลังเลิกงานหล่อนจะไม่ยอมออกจากห้องพักอีก แต่ครั้งนี้กลับปฏิเสธไม่ได้

“ว่ายังไงล่ะลูกแก้ว”

“แก้ว... แก้ว...”

“อั๊วอุตส่าห์เลี้ยงดูลูกแก้วมาอย่างดี ให้ข้าวให้น้ำไม่เคยขาด แล้วอั๊วขอให้ลูกแก้วช่วยมาเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าแทนนังฝนหน่อย แค่นี้มันเหลือบ่ากว่าแรงของลูกแก้วอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะเจ้”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ในเมื่ออั๊วเห็นลูกแก้วทำท่าอึกอัก ทำราวกับว่าอั๊วสั่งให้ไปตายอย่างนั้นแหละ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป